Monday, May 26, 2014

Surface Pro 3 ~ เมื่อ Laptop + Tablet กลายเป็น 1 (อีกครั้ง) !

 "I am sure, Satya. I am sure that is the tablet that can replace the laptop"

 Panos Panay ประกาศเสียงดังบนเวทีระหว่างการเปิดตัว Surface Pro 3 ~ "I am Sure"


ย้อนเวลากลับไปวันที่ #18.6.2012

Microsoft ได้เปิดตัว "Surface" ~*

 เป้าหมายของ Surface คือการรวม Experience ของ Tablet + Laptop เข้าด้วยกัน 


เพื่อที่จะไม่ต้อง "พกหลายเครื่อง"

Idea นี้... ฟังแล้วดูดี ทว่ามันค่อนข้าง Failed ในแง่ยอดขาย

 แต่เราว่ามันประสบความสำเร็จในแง่ "แนวความคิด"


ผ่านมาสองปี.. ในยุคที่ iPad เข้าถึงแทบทุกคน ในยุคที่เราเดินเข้า Starbucks แล้วเจอแต่ MacBook Air

Microsoft ยังยืนยันความคิดเดิม "เครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง" ~ และได้เปิดตัว Surface Pro 3

เป้าหมายหลักของ Microsoft ครั้งนี้ คือ ให้ Surface แทนที่ MacBook Air + iPad

จาก "สอง" เหลือ "หนึ่ง"

คำถามที่ตามมาหลังจากการเปิดตัว คือ "แล้วมันจะทำได้จริงๆหรอ? หรือจะ Failed อีกครั้ง"


ในฐานะที่ใช้ iPad Mini อยู่ ~ เรามีปัญหาอย่างนึง ที่ iPad มันตอบโจทย์ไม่ได้

คือ การทำงานบน iPad อย่างจริงจัง! ไม่นับบางงานที่ทำไม่ได้เลย ก็ต้องใช้เวลาเพิ่ม 1-2 เท่าตัว

ถึงแม้ 80% ของการใช้ iPad ของเรา คือการอ่าน Facebook & Twitter, เล่นเกม, ดู YouTube ~*

(ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ทำบนมือถือได้.. ค่อนข้าง OK)

แน่นอนว่า Surface ไม่มี Apps มากมายเท่า iPad ~ แต่ถ้ามัน + ราคาเพิ่มไปไม่มากมายและมี Apps มากพอที่จะตอบโจทย์เราได้

ทำไมเราจะอยากพก iPad + Laptop ละ!! 



เราแอบหวังในใจลึกๆ ว่า Surface Pro 3 จะประสบความสำเร็จ (อย่างน้อยก็ระดับนึง) 

เท่าที่อ่าน Review จากเมืองนอก.. Microsoft เรียนรู้จากความผิดพลาดมาเยอะพอตัว

สองรุ่นก่อนหน้า.. น้อยคนมากที่จะรู้จักมัน.. แถมเรามองว่ามันเหมือนเป็ด

ทำอะไรก็ไม่เก่งสักอย่าง ~ - -+


ถ้าใครคิดจะชื้อ Laptop (หรือ MacBook Air) + iPad ~ 

เราว่า Surface Pro 3 ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

แน่นอนว่ามันคงไม่สามารถเอา The Best of both worlds มาได้.. 

แต่มันก็มีข้อดีที่มันสามารถให้กับเรา คือ การทำได้ทุกอย่างในที่เดียว :)

P.S. อยากจะฝากไปถาม Microsoft Thailand จริงๆ.. ทำไม Surface เข้าบ้านเราช้าประจำ!! กว่าจะมา.. รุ่นใหม่ออกพอดี :(

Friday, May 23, 2014

ความคิดบางอย่างที่ไม่ควรคิด.. :)

"Ordinary people fill their heads with all kinds of rubbish, and that makes it hard to get at the stuff that matters! Do you see?"

คำพูดของ Sherlock โผล่มาในหัวทันใดหลังจากคุยกับคุณเพื่อนแสนดีเมื่อวาน..


  ส่วนตัวเราเชื่อว่าคนเราไม่ผิดที่จะมีความฝัน แม้มันจะดูติงต็อง + เป็นไปไม่ได้ 

แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเชื้อเพลิงในการดำเนินชีวิต ทำให้เราอยากตื่นมาทำตามความฝันในทุกๆวัน

ไม่ใช่คิดว่าพรุ่งนี้อีกแล้วหรอ.. ไม่รู้จะทำอะไร ไม่อยากตื่น


เมื่อวานมีโอกาสคุยกับเพื่อนที่เข้าใจเราดี และเราก็มีเรื่องนึงที่ได้กลับมาคิดทั้งคืน

เรื่องที่ได้คุยไป ~ คือเรื่องการ "คิดไปเอง"

เรายอมรับตรงๆ ว่าเป็นคนที่ชอบ "คิดไปเอง" แทบจะตลอดเวลา

และข้อเสียอย่างนึงของเรา คือ เราไม่สามารถควบคุมให้จิตใจเรา คิดไปเองในทาง + ในบางเรื่อง

แม้ว่าเราจะคิดในใจไว้ก่อนหน้านั้น ว่ามันต้องออกมาดี และผลมันก็ออกมาดีจริงๆในหลายๆครั้ง (แทบทุกครั้งด้วยซ้ำไป)

แต่ทุกครั้งเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจเดียวนั้น ~ ในจิตใจ + สมองของเราเต็มไปด้วยความคิดด้าน -


"ไม่ดีหรอก" "โกรธเราแน่เลย" "ทำแบบนั้นจะดีหรอ?" "ไม่มีทางที่เราจะทำได้" "มันยังไม่ใช่เวลา" etc.

สมองเราเต็มไปด้วยความคิด (ขยะ) ที่ไม่จำเป็นต้องนึก

เราลืมที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด..

เราเลือกที่จะคิดแทนคนอื่นที่ไม่ใช่เรา..

เราลืมไปว่ายังมีคนที่เข้าใจเราอยู่รอบตัว..

เราลืมไปว่าสิ่งดีๆมีมากมายในเวลาที่ผ่านมา.. 

 

เราไม่มีสติ ไม่ยอมรับรู้สิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้ปล่อยวาง พยายามบังคับจิตใจมากเกินไป

ทั้งๆที่จริงๆ เราก็สามารถแก้ไขเรื่องเหล่านั้นได้ด้วยวิธีง่ายๆที่นึกไม่ถึงมานาน.. :')

"ทำตามหัวใจตัวเองให้ดีที่สุด" & "ปล่อยวาง"

ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด.. สิ่งรอบตัวที่จะเกิดขึ้น มันยังไม่เกิด + เราควบคุมสิ่งเหล่านั้นไม่ได้

เอาความฝันมาเป็นเชื้อเพลิง ~ ไม่ใช่การกดดันตัวเอง

สุดท้าย.. อย่าลืมหาคนที่ "เข้าใจเรา" ที่พร้อมจะช่วยเราเมื่อเราล้ม

เพราะบางทีเค้าอาจจะเข้าใจเรามากกว่าเราเองด้วยซ้ำไป...
 

Tuesday, May 13, 2014

3 เหตุผลที่ทุกคนควรจด Diary ทุกๆวัน :)

ในยุคที่การสื่อสารเร็วกว่าความเร็วของเครื่องบิน

คนเรามักจะลืม.. ที่จะจดจำสิ่งต่างๆรอบตัวไป



เราเลือกที่จะนั่งกดมือถือเมื่อมีคนนั่งยิ้มให้เราในร้านกาแฟ

เราเลือกที่จะหยิบมือถือออกมาถ่ายนักร้องระหว่าง Concert แทนที่จะดูด้วยสายตาของเราเอง

เราเลือกที่จะสนใจเพียงแค่จุดหมายปลายทางที่เราจะไป โดยไม่สนใจความสวยงามของสิ่งรอบทาง

แม้มันจะ (ค่อนข้าง) เจ็บปวด + ยากที่ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น

แต่มันก็เป็นความจริงที่หลายๆคนต้องยอมรับในสังคมปัจจุบัน


การเขียน Diary นั้น มีนิยามความหมายทางภาษาสั้นๆ

"การบันทึกประจำวัน" หรือ "a daily record" นั้นเอง

เราเอง.. ลองเขียน Diary มาเกือบ 1 อาทิตย์ ~ และเราก็ได้เหตุผล 3 ข้อดีๆที่จะเขียนมันต่อไป


 1. เราไม่ใช่ Hard Disk ที่จะจดจำความสุข (หรือทุกข์) ได้ตลอดไป

 ถ้าเราสุข เราย่อมอยากจดจำความสุขนั้นไว้และเราคงไม่อยากลืมมัน

แต่เราก็ไม่อยากนึกถึงมันทุกวัน จนไม่สามารถเริ่มความสุขใหม่ได้

ถ้าเราทุกข์ เราก็ไม่อยากจะจำมันไว้ในสมอง เราต้องหาที่ปลดปล่อยมันออกไป

และเรียนรู้จากความทุกข์นั้น เพื่อเดินหน้าต่อไป.. 

Diary เป็นเหมือนเพื่อนที่เราระบายได้ทุกวัน ทุกเวลา เหมือนการคุยกับตัวเอง

แต่ได้จด + จำ ~ และสามารถกลับมาอ่านได้ในวันที่เราต้องการ




2. เราไม่สามารถเรียนรู้ได้ดีจากการพูดลอยๆ เทียบกับการจด + จำ  

ข้อนี้อาจจะส่วนตัวหน่อย.. 

วลาเราเรียนรู้อะไร เราชอบที่จะจดไว้ เขียนเอง เพราะมันจำได้ดีกว่า  
ถ้าเราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อเตรียมพร้อมกับโอกาสต่อไป

  เราก็อยากจำบทเรียนนั้นให้ดีกว่า.. 

  ดีกว่าปล่อยให้มันลอยในสมองไปมาและหายไป


 
3. เราไม่ต้องบังคับจิตใจตัวเอง ทำสิ่งที่ไม่ชอบ คิดอะไรที่เราไม่ต้องการ

Diary คือสมุดของเราเอง.. เราจะเขียนด้วยปากกาสีที่เราชอบ ลายมือที่เราไม่ต้องฟังใครบ่น..

จะสั้นจะยาว ภาษาจะผิดหรือถูก มันไม่มีใครว่าเราเลย

ถ้าเราจะเขียน Diary เป็นข้อๆ แทนที่จะเขียนเป็นเรื่องยาวๆ ไม่มีใครให้คะแนน ไม่มีเกรด A B หรือ C

มันอาจจะเป็นเวลาเล็กๆที่เราได้ทำตามหัวใจของเรา แม้จะไม่มากก็ตาม


ทุกคนบนโลกใบนี้.. มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่าๆกัน

ถ้าเราแบ่งเวลาวันละ 30 นาที ในการเขียน Diary เพียงแค่หนึ่งหน้าก็คงดี

30 นาทีไม่ใช่เวลาที่นาน จนทำให้คุณไม่ว่างไปทำอย่างอื่น 

อย่าลืมว่าเรามีอีก 23 ชั่วโมง 30 นาที ในการทำสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน

ลองเขียนสักหน้าสิ.. แล้วคุณอาจจะรู้ว่าชีวิตเราผ่านอะไรมาบ้างมากขึ้น :)
 

Thursday, May 8, 2014

The New Journey : การเดินทางครั้งใหม่..

ไม่ว่าการเดินทางที่ยาวนานแค่ไหน.. ก็ต้องมีจุดเริ่มต้นสักที่

นักเดินทางทุกคนต้องมีเรื่องราวที่ให้จดจำไว้ระหว่างทางเดิน

เพื่อระลึกถึงความสุข, เรียนรู้จากความทุกข์ และเปิดหน้าต่อไปเพื่อจะจดบันทึกเรื่องราวใหม่ๆ
 
 
หลังจากนั่งในร้านกาแฟคนเดียวครึ่งชั่วโมงเต็มๆ.. นั่งคิดในเรื่องราวที่ผ่านมาใน 5 เดือนแรกของปีนี้
 
เราตั้งใจกับตัวเองไว้ว่า.. เราจะทำสิ่งที่เราอยากทำในปีนี้ให้ได้

ปี 2014 จะเป็นปีที่เราเปิดหน้าหนังสือเล่มใหม่ เพื่อจดบันทึกเรื่องราวดีๆ

แต่เราก็ไม่ได้ทำสักที.. จนตอนนี้...

เราทำสิ่งที่เราอยากทำหลายอย่าง เช่น เขียนไดอารี่ เป็นต้น
 
และเราก็มีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น
 
นี่เป็นหน้าแรกๆในหนังสือเดินทางเล่มใหม่ของเรา.. :)
 
 
 เราตั้งใจจะเขียน Blog มานาน.. เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับชีวิตเรา
 
ซึ่งวนเวียนอยู่กับของกิน, Technology, Gadgets ต่างๆ, หนังสือ + หนัง + เพลง
 
เรื่องราวที่เราคิดก่อนนอน.. และมีข้อคิดดีๆ ก็คงมาบันทึกในนี้เช่นกัน
 
 

ยังไงก็คงต้องฝากชาว Blog ทุกคนติดตาม ~ เราหวังว่าเราจะมีเรื่องราวดีๆมาแบ่งปันที่นี้

ถ้าไม่อยากพลาดละก็.. ติดตามกันได้เลย ที่ Facebook & Twitter ในกล่องด้านข้าง >>>

และ Instagram : @zzloverss

ขอบคุณนะครับทุกคนที่จะคอยติดตาม.. ไว้เจอกันใน Blog หน้านะฮะ :3