Monday, August 11, 2014

ส่วนผสมของชีวิตที่ดี.. :3

ในเวลาที่คนเรารู้สึกแย่ๆกับตัวเอง รู้สึกว่าชีวิตมันไม่ดีดั่งที่คาดไว้

เรามักจะตั้งคำถามต่อตัวเองเสมอ ว่า...
 
 องค์ประกอบของชีวิตที่ดีมีอะไรบ้าง


ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับการที่เราคิดจะทำอาหารสักหนึ่งจาน  

และเราพยายามจะหาส่วนผสมเพื่อจะทำอาหารจานนั้นขึ้นมา..

ซึ่งส่วนผสมของชีวิตที่ดีของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกันไป 

ไม่มีใครมีสูตรตายตัว เพียงแค่เราลองมองไปรอบๆตัวเรา 

ก็จะพบว่าต่างคนต่างมี ส่วนผสมลับของตัวเองทั้งนั้น.. :1


จากที่เราสังเกตและถามคนรอบๆข้างตัวเราไปเรื่อยๆ ~

เราพบว่าแต่ละคนก็มีส่วนผสมเริ่มต้นที่เหมือนกัน 

นั้นคือ  "การมีความสุขและได้อยู่กับคนที่เรารัก"
  
 
แต่เมื่อทุกคนเริ่มเอ่ยปากบอกองค์ประกอบข้อที่สอง 

ทุกคนกลับมีคำตอบที่ไม่เหมือนกัน 

บางคนก็ต้องการมีเงินมากๆ

บางคนก็ต้องการที่เพียงจะได้ทำตามความฝันของตัวเอง   



และบางครั้ง แม้แต่สิ่งของอย่าง คอมพิวเตอร์” “โทรศัพท์หรือ ดนตรี” 

 ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ดีสำหรับบางคน 



คำตอบเหล่านี้.. ก็มีบ้างที่จะซ้ำกันเล็กน้อย.. ~

สิ่งที่ซ้ำกันนั้นก็แสดงให้เราเห็นว่าทำไมเราถึงชื่นชอบที่จะอยู่ใกล้ๆกับคนๆนั้นได้ไม่ยาก จริงๆนะ

หากเรานึกจะทำไข่เจียว เราก็มีส่วนผสมหลักคือ "ไข่"

และส่วนผสมที่รองลงมาก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคน (เช่น "เต้าหู้ไข่" :3)



ชีวิตคนเราก็เช่นกัน.. 

ส่วนผสมของชีวิตที่ดีของแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ ความคิด และความต้องการของบุคคลนั้น

การที่เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่นและมีคนเข้าใจเรา

จะทำให้เรารู้ถึงส่วนผสมเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น 
  

ส่วนตัวเราพบว่า บางทีส่วนผสมที่สำคัญ เราอาจจะเรียนรู้ได้จากคนรอบข้างตัวเรา 

การมีชีวิตที่ดีนั้นจึงไม่ยากอะไร เพียงแค่เราหาส่วนผสมของใจเราได้ก็เท่านั้นเอง..

(มา Share ส่วนผสมส่วนตัวของแต่ละคนกันได้นะ.. อยากอ่าน :1)
  

Monday, August 4, 2014

I'm back : เมื่อชีวิตเริ่มมีเป้าหมาย..

เราเป็นคนแปลกอย่าง.. 

แม้แต่การทำสิ่งที่เรารู้ดีว่าใจตนเองรัก + ชอบ

ทำสิ่งที่ตัวเองสบายใจ

ทำสิ่งที่ตัวเองได้รู้ว่าวันนึงจะได้ จด + จำ วันนี้ไว้

เรากลับรู้สึกหลงทางในระหว่างการทำสิ่งเหล่านั้นบ่อยๆ

ซึ่งเป็นนิสัยที่แย่ (เรารู้ดี..)


อาทิตย์ที่ผ่านมา เราก็ได้เรียนรู้หลายอย่างมากมายจากชีวิต

จากสิ่งที่พบ.. จากสิ่งที่พลาด.. จากเพื่อน.. จากคนที่เรารัก

หลายๆเรื่องทำเราเอานอนไม่หลับ (นอนได้เพียง 4 ชั่วโมงก็ตื่น) 


บางทีเราก็หลุดไปจากโลกปัจจุบันสักพัก ~ เหมือนอยากไปอยู่ในที่เงียบๆคนเดียว

ทั้งๆที่เรานั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกปัจจุบัน

วันนี้เรามีเวลา (ครั้งแรกในหลายอาทิตย์) 

นั่งปล่อยใจให้สบาย หัดทำอะไรที่ไม่เคยทำ (นั่งวาด Postcard :3)

ฝึกใช้ App To-Do อย่าง Trello (App นี้เจ๋งมากกก จัดระเบียบสิ่งที่ต้องทำได้ง่าย + เป็นระเบียบ)


แล้วเราก็รู้ดีว่าสิ่งนึงที่เราทำแล้วสบายใจ และไม่ได้ทำนาน คือการเขียน Blog 

ต่อไปนี้เราคงได้มาเขียนบ่อยๆขึ้น เราจะพยายามเขียนให้เยอะๆ

ฝากติดตามกัน (อีกครั้ง) ด้วยนะ :3

Tuesday, June 17, 2014

Mitte Coffee ~ ร้านกาแฟน่ารักๆที่เราหลงรัก..

ถ้าถามเราว่าเราชอบไปนั่งที่ร้านกาแฟไหนที่สุด สามเดือนก่อน.. เราคงตอบว่า Starbucks ~

แต่ตอนนี้เราคงต้องขอเปลี่ยนคำตอบเป็น Mitte แทน :3


เรามีโอกาสไป Mitte กับคุณเพื่อนที่น่ารักสองสามคน.. วันนั้นเรามีเวลานั่งมองไปรอบๆร้าน

มีเวลานั่งซดกาแฟที่หอมๆ, แบ่งเค้กกับคุณเพื่อนกิน, สบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม... 


(และทำของทาง Mitte พังไป 1 อย่าง... - -+)

เราก็เริ่มหลงรักร้านนี้ขึ้นมา.. ~ 

อีกครั้งที่เราไป.. เราไปคนเดียว ~ วันนั้น ไม่ใช่วันที่เรารู้สึกดีสักเท่าไร

แต่ก็ต้องแอบยิ้มเมื่อได้รับกาแฟ และ คำถามจากพี่ที่ร้านว่า "วันนี้เพื่อนไม่มาด้วยหรอ.."

ความใส่ใจเล็กๆน้อยๆ ของพี่คนนั้น (พี่บอส) ทำให้เราเริ่มสนใจรายละเอียดรอบร้าน


 จากประตูที่เดินเข้ามา.. ไปจนถึง Shelf วางของ.. นาฬิกา.. ทิชชู่.. บันได ~

ยังไม่รวมไปการโชว์รหัส Wi-Fi ที่เราต้องตกใจ + ชอบใจ Idea นี้มากมาย

สำหรับเรานั้น คือ การใส่ใจทุกรายละเอียด แม้แต่สิ่งที่เราอาจจะไม่เห็น ไม่สนใจ


การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ทำให้เรามั่นใจว่า กาแฟ + ของกินที่นี้ต้องอร่อยแน่ๆ ~ 

เราชอบ Caramel Macchiato ของ Mitte มากๆ ~ ไปทีไรก็อดสั่งไม่ได้

กาแฟหอมๆเข้มๆ ปนกับนม & Caramel ที่นอนอยู่ก้นแก้ว..

ผสมผสานกันอย่างลงตัว ~ :3


ส่วนใครที่ไม่ทานกาแฟก็ไม่ต้องเสียใจไป.. Caramel Milk ก็เป็นอีกเมนูนึงที่ผมหลงรัก

จริงๆ มันก็เหมือน Caramel Macchiato ที่ไม่ใส่กาแฟ.. 

คุณเพื่อนของผมคนนึงชอบมากๆ (เค้าไม่กินกาแฟ).. เราเคยไป Starbucks กับเค้า

พอเค้าสั่งที่ Starbucks ก็ไม่ชอบเท่าที่ Mitte ~*

Caramel Milk ที่ Mitte จะมีกลิ่นหอมๆของนมปนกับ Caramel ที่นอนอยู่

ใครชอบ Caramel ก็น่าจะหลงรักเมนูแก้วนี้ได้ง่ายๆเลยละ ท

หอมๆ หวานๆ ไปถึงหัวใจ <3
 

นอกจากกาแฟ ~ Mitte ยังมี Homemade Bakery ให้เราได้ทานคู่กับกาแฟแก้วโปรดด้วย

เรารู้สึกว่าพี่เค้าทำเค้กด้วยใจรัก.. ใส่ใจทุกรายละเอียดเช่นเดียวกับตัวร้าน

Blueberry Cheese Cake เป็นเมนูที่เราชอบมากๆของที่นี้.. กลิ่นหอมๆของชีสตัดกับ Blueberry อย่างลงตัว

(ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไม่มีรูปของ Blueberry Cheese Cake.. มันไม่เคยอยู่ทันถ่ายรูปเลย โดนแอบกินก่อนตลอด)


วันก่อนเราไปลอง "The Secret Tart" ~ เค้กที่นำขนมอย่าง Maltese, Snickers, Oreo etc. มาเป็นส่วนผสม

ถ้าใครชอบทาน Chocolate ต้องชอบแน่นอน, เราว่าเมนูนี้สร้างสรรค์สุดๆ แต่ก็แอบหวานไปหน่อยสำหรับเรา :P


  ส่วนตัวเราชอบบรรยากาศของ Mitte มากๆ อย่างที่ได้บอกไป ~ 

บรรยากาศในร้านก็สบายๆ จะเขียนไดอารี่, ซดกาแฟไป, ยิ้มให้กับคนที่นั่งตรงข้าม ฟัง Ed Sheeran etc.

มองไปรอบๆร้านก็ยิ้มได้เรื่อยๆ เพราะรายละเอียดในร้านช่างชวนให้เราฝันและยิ้มไปด้วยกันจริงๆ
   

ชาว Blog คนไหนสนใจไป Mitte Coffee ~ ก็หาได้ไม่ยากเลย, ร้านอยู่ในเมืองทองธานี เลยมหา'ลัยสุโขทัยมานิดหน่อย (อยู่ฝั่งตรงข้ามมหา'ลัย)

ทางร้านเปิด 10.00am-9.00pm ~ ปิดทุกวันอังคาร

ใครไปไม่ถูก.. ก็สามารถโทรหาทางร้านได้ : 02-9817667

 นอกจากนี้ยังติดตามทางร้านได้ทั้ง Facebook : MitteCoffee

 และ Instagram : @mittecoffee


จริงๆ.. Mitte มีเมนูอีกมากมายที่เรายังไม่มีโอกาสไปลอง ~ เช่น Cold Brew Coffee,  Special Latte ของทางร้าน etc.

ถ้าเรามีโอกาสได้ไปอีก.. จะนำมาฝากชาว Blog แน่นอน

ใครที่ไปเคยไป Mitte ก็มา Share เมนูโปรดกันได้นะ.. :3

Saturday, June 7, 2014

The Fault In Our Stars : บทเรียนจากหนัง(สือ), & แสงดาว..

เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดหรือยัง?

เราคิดมากในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไปหรือเปล่า? เราได้ทำตามความฝันของชีวิตเราในวันนี้มั้ย?

 คำถามเหล่านี้ตามมาในหัวเราเรื่อยๆ หลังจากพลิกแต่ละหน้าไปใน The Fault In Our Stars

The Fault In Our Stars (#TFIOS) เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่จะเข้าโรงหนังทั่วโลกในช่วง Summer นี้.. 

แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เข้าไทย.. แอบเสียใจ.. TvT

เราพึ่งทราบหนังจะเข้าไทยวันที่ 24 กรกฎาคมนี้นะ!! (น้ำตาจะไหล..)

 

 เรารู้จักหนัง(สือ) เล่มนี้จากเพลง All of The Stars ของพี่ Ed Sheeran ~ 

จากเพลงที่มีความหมายดี..ไปสู่หนังที่อยากพาใครสักคนไปดู.. และจบลงที่หนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่อยากลืม


เราได้ตั้งคำถามกับตัวเองมากมายไปในเวลาที่อ่าน #TFIOS

  Hazel Grace, เป็นสาวคนนึงที่ต้องเผชิญกับโรคมะเร็งที่คิดว่าชีวิตคงดีขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้

 ในทุกๆวันที่เธอตื่นมา เธอคิดว่าเธอเป็นเหมือนระเบิด ~ ที่ทำให้ชีวิตของคนรอบข้างแย่ลง

พ่อกับแม่ที่ต้องเปลี่ยนตารางชีวิตเพื่อมาดูแลเธอ, หนุ่มที่เธอชอบก็อาจจะต้องมาเสียใจเมื่อวันนึงเธอจากไป หรือ เปลี่ยนไป, etc.


เราเคยอ่านเจอคำพูดของ Oscar Wilde ที่บอกไว้ว่า "A man can be happy with any woman as long as he does not love her"

 เมื่อคนเรารักใครสักคน คำว่า "เป็นห่วง" & "กังวล" ก็จะค่อยๆเข้ามา

เราเริ่มที่จะ "คิด" แทนคนที่เรารัก... และเมื่อการ "คิด" มันเข้าสู่จุดที่มากไป

 เราก็ลืมที่จะทำตามหัวใจของตัวเอง ความฝันของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเอง
 
บางทีคนเราก็เจอสิ่งแย่ๆ.. โลกของเราไม่ใช่โรงงานที่เติมเต็มความฝันของเราได้ทุกวัน

เพียงแค่เมื่อเราพบสิ่งแย่ๆ เราจะยอมรับและเดินหน้าไปกับมัน หรือ จะโศกเศร้ากับมันไปตลอดชีวิต?


อีกบทเรียนที่เราได้จาก #TFIOS ก็คงหนีไม่พ้น "การใช้ชีวิตให้เต็มที่ในแต่ละวัน"

Hazel มีชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อวันไหน.. แต่ยังมีความฝันที่อยากทำ..

ซึ่งความฝันเหล่านั้น ทำให้ Hazel ไม่ได้ใช้ชีวิตต่อไปเพียงวันๆ เธอเลือกที่จะทำตามฝัน ทำสิ่งที่เธอมีความสุข

แล้วเราละ? ต้องรอให้รู้ว่าวันสุดท้ายในชีวิตจะมาหาเราก่อนที่เราจะทำตามฝันให้ดีที่สุด ใช้ชีวิตให้เต็มที่หรอ.. ?


จริงๆในหนังสือมันมีหลายๆเรื่องที่ทำให้เราคิดได้อีกมากมาย ~

 แต่เราแอบกลัวว่าถ้าเล่าหมด จะเป็นการ Spoiled เนื้อเรื่องไป :P

 #TFIOS เป็นหนัง(สือ)ที่เราอยากให้ไปลองอ่านกัน ~

เราถึงกับยิ้มปนน้ำตาเลยละในตอนจบของเรื่อง

 (วันที่ 24 กรกฎาคม เจอกันที่โรงภาพยนตร์)

 ใครที่อ่านแล้วก็มา Share ความคิดกันได้นะ :3

Monday, May 26, 2014

Surface Pro 3 ~ เมื่อ Laptop + Tablet กลายเป็น 1 (อีกครั้ง) !

 "I am sure, Satya. I am sure that is the tablet that can replace the laptop"

 Panos Panay ประกาศเสียงดังบนเวทีระหว่างการเปิดตัว Surface Pro 3 ~ "I am Sure"


ย้อนเวลากลับไปวันที่ #18.6.2012

Microsoft ได้เปิดตัว "Surface" ~*

 เป้าหมายของ Surface คือการรวม Experience ของ Tablet + Laptop เข้าด้วยกัน 


เพื่อที่จะไม่ต้อง "พกหลายเครื่อง"

Idea นี้... ฟังแล้วดูดี ทว่ามันค่อนข้าง Failed ในแง่ยอดขาย

 แต่เราว่ามันประสบความสำเร็จในแง่ "แนวความคิด"


ผ่านมาสองปี.. ในยุคที่ iPad เข้าถึงแทบทุกคน ในยุคที่เราเดินเข้า Starbucks แล้วเจอแต่ MacBook Air

Microsoft ยังยืนยันความคิดเดิม "เครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง" ~ และได้เปิดตัว Surface Pro 3

เป้าหมายหลักของ Microsoft ครั้งนี้ คือ ให้ Surface แทนที่ MacBook Air + iPad

จาก "สอง" เหลือ "หนึ่ง"

คำถามที่ตามมาหลังจากการเปิดตัว คือ "แล้วมันจะทำได้จริงๆหรอ? หรือจะ Failed อีกครั้ง"


ในฐานะที่ใช้ iPad Mini อยู่ ~ เรามีปัญหาอย่างนึง ที่ iPad มันตอบโจทย์ไม่ได้

คือ การทำงานบน iPad อย่างจริงจัง! ไม่นับบางงานที่ทำไม่ได้เลย ก็ต้องใช้เวลาเพิ่ม 1-2 เท่าตัว

ถึงแม้ 80% ของการใช้ iPad ของเรา คือการอ่าน Facebook & Twitter, เล่นเกม, ดู YouTube ~*

(ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ทำบนมือถือได้.. ค่อนข้าง OK)

แน่นอนว่า Surface ไม่มี Apps มากมายเท่า iPad ~ แต่ถ้ามัน + ราคาเพิ่มไปไม่มากมายและมี Apps มากพอที่จะตอบโจทย์เราได้

ทำไมเราจะอยากพก iPad + Laptop ละ!! 



เราแอบหวังในใจลึกๆ ว่า Surface Pro 3 จะประสบความสำเร็จ (อย่างน้อยก็ระดับนึง) 

เท่าที่อ่าน Review จากเมืองนอก.. Microsoft เรียนรู้จากความผิดพลาดมาเยอะพอตัว

สองรุ่นก่อนหน้า.. น้อยคนมากที่จะรู้จักมัน.. แถมเรามองว่ามันเหมือนเป็ด

ทำอะไรก็ไม่เก่งสักอย่าง ~ - -+


ถ้าใครคิดจะชื้อ Laptop (หรือ MacBook Air) + iPad ~ 

เราว่า Surface Pro 3 ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

แน่นอนว่ามันคงไม่สามารถเอา The Best of both worlds มาได้.. 

แต่มันก็มีข้อดีที่มันสามารถให้กับเรา คือ การทำได้ทุกอย่างในที่เดียว :)

P.S. อยากจะฝากไปถาม Microsoft Thailand จริงๆ.. ทำไม Surface เข้าบ้านเราช้าประจำ!! กว่าจะมา.. รุ่นใหม่ออกพอดี :(

Friday, May 23, 2014

ความคิดบางอย่างที่ไม่ควรคิด.. :)

"Ordinary people fill their heads with all kinds of rubbish, and that makes it hard to get at the stuff that matters! Do you see?"

คำพูดของ Sherlock โผล่มาในหัวทันใดหลังจากคุยกับคุณเพื่อนแสนดีเมื่อวาน..


  ส่วนตัวเราเชื่อว่าคนเราไม่ผิดที่จะมีความฝัน แม้มันจะดูติงต็อง + เป็นไปไม่ได้ 

แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเชื้อเพลิงในการดำเนินชีวิต ทำให้เราอยากตื่นมาทำตามความฝันในทุกๆวัน

ไม่ใช่คิดว่าพรุ่งนี้อีกแล้วหรอ.. ไม่รู้จะทำอะไร ไม่อยากตื่น


เมื่อวานมีโอกาสคุยกับเพื่อนที่เข้าใจเราดี และเราก็มีเรื่องนึงที่ได้กลับมาคิดทั้งคืน

เรื่องที่ได้คุยไป ~ คือเรื่องการ "คิดไปเอง"

เรายอมรับตรงๆ ว่าเป็นคนที่ชอบ "คิดไปเอง" แทบจะตลอดเวลา

และข้อเสียอย่างนึงของเรา คือ เราไม่สามารถควบคุมให้จิตใจเรา คิดไปเองในทาง + ในบางเรื่อง

แม้ว่าเราจะคิดในใจไว้ก่อนหน้านั้น ว่ามันต้องออกมาดี และผลมันก็ออกมาดีจริงๆในหลายๆครั้ง (แทบทุกครั้งด้วยซ้ำไป)

แต่ทุกครั้งเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจเดียวนั้น ~ ในจิตใจ + สมองของเราเต็มไปด้วยความคิดด้าน -


"ไม่ดีหรอก" "โกรธเราแน่เลย" "ทำแบบนั้นจะดีหรอ?" "ไม่มีทางที่เราจะทำได้" "มันยังไม่ใช่เวลา" etc.

สมองเราเต็มไปด้วยความคิด (ขยะ) ที่ไม่จำเป็นต้องนึก

เราลืมที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด..

เราเลือกที่จะคิดแทนคนอื่นที่ไม่ใช่เรา..

เราลืมไปว่ายังมีคนที่เข้าใจเราอยู่รอบตัว..

เราลืมไปว่าสิ่งดีๆมีมากมายในเวลาที่ผ่านมา.. 

 

เราไม่มีสติ ไม่ยอมรับรู้สิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้ปล่อยวาง พยายามบังคับจิตใจมากเกินไป

ทั้งๆที่จริงๆ เราก็สามารถแก้ไขเรื่องเหล่านั้นได้ด้วยวิธีง่ายๆที่นึกไม่ถึงมานาน.. :')

"ทำตามหัวใจตัวเองให้ดีที่สุด" & "ปล่อยวาง"

ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด.. สิ่งรอบตัวที่จะเกิดขึ้น มันยังไม่เกิด + เราควบคุมสิ่งเหล่านั้นไม่ได้

เอาความฝันมาเป็นเชื้อเพลิง ~ ไม่ใช่การกดดันตัวเอง

สุดท้าย.. อย่าลืมหาคนที่ "เข้าใจเรา" ที่พร้อมจะช่วยเราเมื่อเราล้ม

เพราะบางทีเค้าอาจจะเข้าใจเรามากกว่าเราเองด้วยซ้ำไป...
 

Tuesday, May 13, 2014

3 เหตุผลที่ทุกคนควรจด Diary ทุกๆวัน :)

ในยุคที่การสื่อสารเร็วกว่าความเร็วของเครื่องบิน

คนเรามักจะลืม.. ที่จะจดจำสิ่งต่างๆรอบตัวไป



เราเลือกที่จะนั่งกดมือถือเมื่อมีคนนั่งยิ้มให้เราในร้านกาแฟ

เราเลือกที่จะหยิบมือถือออกมาถ่ายนักร้องระหว่าง Concert แทนที่จะดูด้วยสายตาของเราเอง

เราเลือกที่จะสนใจเพียงแค่จุดหมายปลายทางที่เราจะไป โดยไม่สนใจความสวยงามของสิ่งรอบทาง

แม้มันจะ (ค่อนข้าง) เจ็บปวด + ยากที่ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น

แต่มันก็เป็นความจริงที่หลายๆคนต้องยอมรับในสังคมปัจจุบัน


การเขียน Diary นั้น มีนิยามความหมายทางภาษาสั้นๆ

"การบันทึกประจำวัน" หรือ "a daily record" นั้นเอง

เราเอง.. ลองเขียน Diary มาเกือบ 1 อาทิตย์ ~ และเราก็ได้เหตุผล 3 ข้อดีๆที่จะเขียนมันต่อไป


 1. เราไม่ใช่ Hard Disk ที่จะจดจำความสุข (หรือทุกข์) ได้ตลอดไป

 ถ้าเราสุข เราย่อมอยากจดจำความสุขนั้นไว้และเราคงไม่อยากลืมมัน

แต่เราก็ไม่อยากนึกถึงมันทุกวัน จนไม่สามารถเริ่มความสุขใหม่ได้

ถ้าเราทุกข์ เราก็ไม่อยากจะจำมันไว้ในสมอง เราต้องหาที่ปลดปล่อยมันออกไป

และเรียนรู้จากความทุกข์นั้น เพื่อเดินหน้าต่อไป.. 

Diary เป็นเหมือนเพื่อนที่เราระบายได้ทุกวัน ทุกเวลา เหมือนการคุยกับตัวเอง

แต่ได้จด + จำ ~ และสามารถกลับมาอ่านได้ในวันที่เราต้องการ




2. เราไม่สามารถเรียนรู้ได้ดีจากการพูดลอยๆ เทียบกับการจด + จำ  

ข้อนี้อาจจะส่วนตัวหน่อย.. 

วลาเราเรียนรู้อะไร เราชอบที่จะจดไว้ เขียนเอง เพราะมันจำได้ดีกว่า  
ถ้าเราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อเตรียมพร้อมกับโอกาสต่อไป

  เราก็อยากจำบทเรียนนั้นให้ดีกว่า.. 

  ดีกว่าปล่อยให้มันลอยในสมองไปมาและหายไป


 
3. เราไม่ต้องบังคับจิตใจตัวเอง ทำสิ่งที่ไม่ชอบ คิดอะไรที่เราไม่ต้องการ

Diary คือสมุดของเราเอง.. เราจะเขียนด้วยปากกาสีที่เราชอบ ลายมือที่เราไม่ต้องฟังใครบ่น..

จะสั้นจะยาว ภาษาจะผิดหรือถูก มันไม่มีใครว่าเราเลย

ถ้าเราจะเขียน Diary เป็นข้อๆ แทนที่จะเขียนเป็นเรื่องยาวๆ ไม่มีใครให้คะแนน ไม่มีเกรด A B หรือ C

มันอาจจะเป็นเวลาเล็กๆที่เราได้ทำตามหัวใจของเรา แม้จะไม่มากก็ตาม


ทุกคนบนโลกใบนี้.. มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่าๆกัน

ถ้าเราแบ่งเวลาวันละ 30 นาที ในการเขียน Diary เพียงแค่หนึ่งหน้าก็คงดี

30 นาทีไม่ใช่เวลาที่นาน จนทำให้คุณไม่ว่างไปทำอย่างอื่น 

อย่าลืมว่าเรามีอีก 23 ชั่วโมง 30 นาที ในการทำสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน

ลองเขียนสักหน้าสิ.. แล้วคุณอาจจะรู้ว่าชีวิตเราผ่านอะไรมาบ้างมากขึ้น :)
 

Thursday, May 8, 2014

The New Journey : การเดินทางครั้งใหม่..

ไม่ว่าการเดินทางที่ยาวนานแค่ไหน.. ก็ต้องมีจุดเริ่มต้นสักที่

นักเดินทางทุกคนต้องมีเรื่องราวที่ให้จดจำไว้ระหว่างทางเดิน

เพื่อระลึกถึงความสุข, เรียนรู้จากความทุกข์ และเปิดหน้าต่อไปเพื่อจะจดบันทึกเรื่องราวใหม่ๆ
 
 
หลังจากนั่งในร้านกาแฟคนเดียวครึ่งชั่วโมงเต็มๆ.. นั่งคิดในเรื่องราวที่ผ่านมาใน 5 เดือนแรกของปีนี้
 
เราตั้งใจกับตัวเองไว้ว่า.. เราจะทำสิ่งที่เราอยากทำในปีนี้ให้ได้

ปี 2014 จะเป็นปีที่เราเปิดหน้าหนังสือเล่มใหม่ เพื่อจดบันทึกเรื่องราวดีๆ

แต่เราก็ไม่ได้ทำสักที.. จนตอนนี้...

เราทำสิ่งที่เราอยากทำหลายอย่าง เช่น เขียนไดอารี่ เป็นต้น
 
และเราก็มีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น
 
นี่เป็นหน้าแรกๆในหนังสือเดินทางเล่มใหม่ของเรา.. :)
 
 
 เราตั้งใจจะเขียน Blog มานาน.. เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับชีวิตเรา
 
ซึ่งวนเวียนอยู่กับของกิน, Technology, Gadgets ต่างๆ, หนังสือ + หนัง + เพลง
 
เรื่องราวที่เราคิดก่อนนอน.. และมีข้อคิดดีๆ ก็คงมาบันทึกในนี้เช่นกัน
 
 

ยังไงก็คงต้องฝากชาว Blog ทุกคนติดตาม ~ เราหวังว่าเราจะมีเรื่องราวดีๆมาแบ่งปันที่นี้

ถ้าไม่อยากพลาดละก็.. ติดตามกันได้เลย ที่ Facebook & Twitter ในกล่องด้านข้าง >>>

และ Instagram : @zzloverss

ขอบคุณนะครับทุกคนที่จะคอยติดตาม.. ไว้เจอกันใน Blog หน้านะฮะ :3